Script
Scene – สนามรบ
บนทุ่งราบซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดสงครามการปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างกองทัพมหาอำนาจสองฝั่ง
ซึ่งหากดูจากศพมากมายที่ล้มตายอยู่แล้วดูเหมือนจะเป็นศึกสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจ
คุณฟื้นขึ้นมาท่ามกลางกองซากศพของทหารนับพัน กลิ่นคาวเลือดฟุ้งไปทั่ว
สมองของคุณนั้นยังคงมึนงงและจำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ราวกับถูกของแข็งกระแทกที่หัวอย่างแรง ในขณะที่กำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้น
คุณก็หันมองไปรอบๆ สนามรบนี้ไร้วี่แววของทหารที่รอดชีวิตทั้งของฝ่ายมนุษย์และฝ่ายปีศาจ
ทำให้คุณตระหนักได้ว่าคุณเป็นผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวของสนามรบแห่งนี้
หลังจากที่คุณลุกขึ้นและเรียกสติกลับมาได้แล้ว
คุณพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แต่คุณกลับนึกอะไรไม่ออกเลยรวมถึงทั้งอดีตและรวมทั้งสิ่งที่จะทำต่อไปด้วย
ในสมองของคุณ มีเพียงภาพเลือนลางของเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ ที่มีผู้คนชุกชม
แสงสว่างอันอบอุ่มโอบล้อมอยู่
ด้วยความที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับอดีตและความทรงจำของตน
คุณเลือกที่จะไปหาเบาะแสเดียวที่เหลืออยู่ เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ‘Sanctuary’ ด้วยความทรงจำอันเลือนลางคุณจำได้เพียงว่าเมืองหลวงนี้อยู่ทางทิศใต้ของสนามรบนี้
ด้วยเบาะแสอันน้อยนิดนี้คุณตัดสินใจออกเดินทางไปทางใต้…
Scene – บ้านชาวนา
หลังจากที่เดินทางมาได้ครึ่งค่อนวัน
วิวทิวทัศน์รอบข้างก็เริ่มเปลี่ยนไป จากเนินเขาสูงใหญ่ก็เริ่มกลายเป็นที่ราบมากขึ้น
ซากศพที่เคยเกลื่อนกลาดอยู่ตามทางก็หายไป
คุณเดินทางจนกระทั่งพบบ้านเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นบ้านของพลเมืองที่อาศัยอยู่ที่ชนบท
คุณตัดสินใจเข้าไปถามเส้นทางเพราะคิดว่า
หากเดินทางต่อไปโดยที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยคงเป็นการยากที่จะไปถึงเมืองหลวงโดยเร็วได้
คุณหยุดยืนที่บ้านหลังนั้นพร้อมทั้งเรียกผู้ที่อยู่ข้างในเบาๆด้วยเสียงแหบแห้งจากความเหน็ดเหนื่อย
ผู้ที่อยู่ด้านในก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลและเหนื่อยอ่อน
พร้อมทั้งเปิดประตูออกมา
ชายที่เปิดประตูออกมาเป็นชายสูงอายุท่าทางอ่อนแรง
คุณแอบลอบเห็นว่าภายในบ้านหลังนั้นยังมีเด็กผู้หญิงซึ่งอายุไม่มากแอบอยู่สองคน
ชายที่เปิดประตูทำท่าตกใจเล็กน้อยก่อนทำสีหน้าอ่อนล้าแต่ก็เป็นปกติ
‘ขอโทษนะครับ
คือผมต้องการทราบทางไปเมืองหลวงน่ะครับ’
‘จ..เจ้าเป็นทหารอย่างนั้นหรือ’
ชายแก่กล่าวก่อนที่จะเว้นวรรคชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นต่ออย่างกล้าๆกลัวๆ
‘สงคราม… จบแล้วสินะ’
‘ในสนามรบนั้นไม่มีผู้เหลือรอดอยู่อีกแล้ว
แต่ผมก็ไม่รู้นอกเหนือจากนั้นว่าสงครามจบหรือยัง’
‘อย่างงั้นเองหรอกรึ…เจ้า…เจ้ดูเหมือนจะเป็นคนดีนะ
ข้าคิดว่าตอนแรกครอบครัวและบ้านของข้าจะไม่รอดซะแล้ว’
‘ไม่รอดจากอะไรครับ’
‘จากสงครามน่ะ…ข้าน่ะอยู่ใกล้กับสถาณที่ที่เกิดสงครามครั้งนี้มาก
และไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ
ข้าคิดว่าพวกทหารที่หิวโซและอดอยากจะเข้ามาปล้นบ้านของชาวนาที่ไร้ทางสู้อย่างข้าน่ะสิ’
‘มนุษย์ด้วยกันคงจะไม่ทำอย่างนั้น…’
‘เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นคนดีนะ ถึงหน้าตาเจ้าจะน่ากลัว
แต่เจ้าน่ะ…รู้จักมนุษย์น้อยเกินไป
ความจริงแล้วจะมนุษย์หรือปีศาจก็ทำเพียงเพื่อตัวเองเท่านั้นแหละ’
คุณซึ่งเสียความทรงจำไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยแต่ดูเหมือนว่าในสายตาของชาวบ้านแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ไม่แตกต่างกัน
สงครามสำหรับชาวนาแล้วคงมีแต่ความสูญเสียเท่านั้น
‘ข้าดีใจนะ ที่เจ้าน่ะเป็นคนดี
ไม่งั้นข้ากับหลานข้าคงจะไม่รอดแน่ๆ’
‘ถ้าเกิดว่าสงครามมันอันตราย
ทำไมคุณถึงไม่ย้ายไปที่อื่นล่ะครับ’
‘เจ้าอาจจะไม่รู้ แต่ในดินแดนมนุษย์น่ะ
ชาวนาจนๆอย่างข้าไม่มีเงินพอที่จะเดินทางไปไหนหรอก
แล้วในดินแดนแห่งนี้ก็ชุกชมไปด้วยโจร ไม่มีทางที่คนแก่กับเด็กจะเดินทางไปไหนได้หรอก’
‘แล้วพ่อแม่ของเด็กๆ…’
‘พ่อแม่เค้าต้องเดินทางไปทำงานในเมืองน่ะ
ชาวนาอย่างข้าในช่วงสงครามแบบนี้ผลผลิตไม่พอที่จะเอาไปขายเลี้ยงปากท้อง 5-6
ชีวิตหรอก’
‘อย่างนี้เอง’
‘เอาล่ะพ่อหนุ่ม ข้าชวนเจ้าคุยมามากพอแล้ว
เจ้าจะหาทางไปเมืองหลวงใช่มั้ย’
‘ครับ’
‘ก่อนไปข้าขอถามเจ้าหน่อยได้มั้ย
เจ้าต้องการจะไปทำอะไรที่นั่นอย่างงั้นหรือ’
‘ไม่ทราบครับ ผมเสียความทรงจำไป
จำได้แค่เพียงภาพของเมืองหลวงเท่านั้น ก็หวังแค่ว่าการไปที่นั่นจะทำให้ผมได้คำตอบ’
ชายแก่ทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย
ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ‘อย่างนี้เอง’
หลังจากนั้นชายแก่ก็เอ่ยขึ้น
‘ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอให้เจ้าโชคดีนะ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อ้อ…แล้วก็รับนี่ไว้นะ ถึงมันจะไม่ได้มากมายอะไร’
ชายแก่เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งยื่นถึงข้าวสารเล็กให้ถุงหนึ่ง
หลังจากนั้นก็บอกเส้นทางที่จะเข้าเมืองหลวงให้คุณฟัง
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้วคุณก็เริ่มออกเดินทางต่อพร้อมกับความคิดต่างๆที่เริ่มเกิดขึ้นมาในหัว
คุณได้เห็นถึงความลำบากในชนบทซึ่งแตกต่างกับภาพเมืองหลวงในความทรงจำของคุณอย่างมาก
ผ่านไปสามวันสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
รายล้อมรอบตัวคุณเต็มไปด้วยบ้านเรือนและมีถนนมากมายหลายเส้นตัดผ่านไปมา
ระหว่างนั้นคุณก็เห็นผู้คนหลายคนเดินผ่านไปมาตามถนน
ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณเข้าใกล้เขตเมืองหลวงแล้ว
แต่น่าจะด้วยกลิ่มคาวเลือดและอาวุธที่คุณถือมา ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้คุณ
จนในที่สุดคุณก็มาหยุดยืนที่ประตูขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ติดกับกำแพงสูงตระหง่านที่ลายล้อมรอบเมืองนี้ไว้
ทำให้คุณมั่นใจได้ทันที่ว่าภาพนี้คือเมืองหลวงที่คุณตามหาอย่างแน่นอน
Scene – Capital
หลังจากเข้าถึงตัวเมืองหลวง
ภาพที่คุณเห็นในหัวอันเลือนลางก็ซ้อนทับกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยผู้คน พร้อมกับแสงแดดอันอบอุ่นของตอนใต้
คุณรู้สึกถึงความคิดถึงบ้านอย่างเปี่ยมล้นแต่ก็กลับรู้สึกถึงความไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน
และคุณก็ยังจำเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้
ด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่พรั่งพลูปนกันไปหมดทำให้คุณไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
คุณเลยตัดสินใจที่จะเดินในเมืองก่อนเผื่อว่าจะได้ความทรงจำอะไรกลับมาหรือมีสถาณที่คุ้นตาบ้าง
ระหว่างที่คุณเดินไปในตัวเมืองได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
คุณก็สังเกตุว่าชาวเมืองที่เคยพลุกพล่านเริ่มหายไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว
หลังจากที่คิดได้ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมาหาคุณ
คนกลุ่มนี้แต่งตัวเหมือนกับทหารยามและยังถืออาวุธมาอีกด้วย
‘แก
ถ้าแกฟังรู้เรื่องล่ะก็วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ ถ้าแกยอมแพ้ตอนนี้พวกเราสัญญาว่า
แกจะได้รับการประหารอย่างไม่ทรมาณ’ ทหารคนหนึ่งตะโกนบอกพร้อมกับเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
ประหาร? ทำไมจะต้องประหารทหารที่ไปทำสงครามมาให้ด้วย
มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่? พระราชารู้เรื่องนี้รึเปล่า? หรือนี่คือคำสั่งของพระราชา? คำถามเต็มหัวของคุณไปหมด
ในขณะที่คุณมึนงงอยู่นี้ทหารคนหนึ่งก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้คุณ คุณเลือกที่จะ
1.ต่อสู้เพื่อหาทางหนีออกไป (อ่านต่อที่ a)
2.ยอมแพ้แต่โดยดี (อ่านต่อที่ b)
A คุณหยิบอาวุธที่ติดตัวคุณมาพร้อมกับเหวี่ยงไปที่ทหารคนหนึ่ง
พร้อมทั้งเตรียมตัววิ่งหนี แต่กลายเป็นว่าแรงเหวี่ยงอาวุธของคุณนั้นทำให้ทหารคนที่โดนกระเด็นไปไกลกระแทกกับกำแพง
ดูเหมือนว่าจะทำให้เขาขาดใจตายทันที
ด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีแรงมากมายขนาดนั้น
คุณจึงทิ้งอาวุธและยอมให้ทหารลากตัวคุณไปแต่โดยดี
Scene – Dungeon
หลังจากที่ยอมแพ้คุณก็ถูกลากตัวมาในคุกใต้ดินของปราสาท
ภายในคุกนั้นทหารที่ลากคุณมาก็บอกกับคุณว่าคุณจะโดนประหารในวันรุ่งขึ้น
ในคืนนั้นคุณพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้น
แรงมหาศาลของตนเองดูเหมือนจะ ตนจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน
แล้วทำไมถึงอยู่ที่สงครามนั่นล่ะ คุณไปในฐานะอะไร? ฮีโร่ผู้ปราบปีศาจอย่างนั้นหรือ
แต่ไม่ว่าคุณจะพยายามคิดอะไรเท่าไหร่ก็ไม่มีคำตอบอะไรโผล่ออกมาจากหัวคุณเลย
คุณจึงเลือกที่จะใช้เวลาจ้องกำแพงอันว่างเปล่าของคุกใต้ดินนั้นพร้อมทั้งยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในวันรุ่งขึ้น
ในวันรุ่งขึ้นนั้นทหารก็ลากตัวคุณไปยังลานประหาร
ซึ่งคุณก็เดินตามไปอย่างไม่ขัดขืน
เมื่อคุณเดินออกมาระหว่างทางคุณพบกับผู้คนจำนวนมากที่มารอชมการประหารของคุณ
ทำให้เกิดความความสงสัยว่าตนเป็นใคร ทำไมคนถึงใส่ใจการประหารของนักโทษธรรมดาๆคนนึง
หรือว่าคุณจะไม่ใช่เพียงคนธรรมดาๆ แต่คำถามนี้ก็คงไม่มีใครตอบคุณได้จวบจนวาระสุดท้ายของคุณ
หลังจากการประหารจบลงแล้วชื่อของคุณก็ได้จารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็น
‘สัตว์ประหลาดที่รอดพ้นจากสงครามครั้งใหญ่และยอมตายอย่างสงบและสมเกียรติ’(END)
B – คุณทิ้งอาวุธและยอมแพ้แต่โดยดี
ทหารคนหนึ่งเข้ามาจับตัวคุณไว้พร้อมลากตัวคุณไป
โดยบอกกับคุณว่าเขาจะพาคุณไปที่คุกใต้ดินและจะประหารคุณอย่างสมเกียรติในวันรุ่งขึ้นให้สมกับที่คุณยอมให้จับอย่างสงบ
ระหว่างทางนั้นคุณครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงพูดกับทหารที่เดินนำอยู่ข้างหน้าของคุณ
‘พาผมไปพบพระราชาก่อนได้มั้ย?’
‘เจ้าจะไปพบพระราชาทำไม หรือว่าวางแผนอะไรไว้!’
‘ไม่ใช่แบบนั้น
ผมยอมให้คุณมัดแขนขาผมไว้อย่างแน่นหนาก่อนพบพระราชาก็ได้’
‘แล้วอย่างนั้นเจ้าจะไปพบพระราชาทำไม’
‘ผมแค่อยากได้คำตอบบางอย่าง’
‘ก็ได้ ข้าจะลองขอ Royal Guard ดู
เห็นแก่ที่เจ้ายอมมาอย่างสงบ’
หลังจากนั้นทหารที่เดินนำไปก็เปลี่ยนทิศทาง
พาคุณเดินเข้าไปที่หน้าประตูปราสาท
หลังจากนั้นคุณก็เห็นเขาพูดคุยอะไรบางอย่างกับทหารอีกคนหนึ่งที่แต่งชุดดูหรูหราและทรงพลังกว่า
คุณคาดว่าน่าจะเป็น Royal Guard ที่เขาพูดถึง หลังจากคุยกันได้สักพักหนึ่ง
ทหารที่แต่งชุดหรูหรากว่าก็เดินเข้าไปในประตูปราสาทครู่ใหญ่ๆจนกระทั่งมีเสียงตะโกนออกมา
‘เรียกเจ้าคนที่รอดจากสงครามมาได้
พระราชายอมให้เข้าเฝ้าแล้ว!’ เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับที่คุณกำลังคิดถึงเรื่องที่คนต่างๆที่นี่รู้ว่าคุณเป็นผู้ที่รอดจากสงครามได้อย่างไร
หลังจากนั้นคุณก็ได้ถูกพาเข้ามาที่ห้องโถง
โดยมีทหารคนเดิมเป็นคนเดินนำคุณมา รอบๆทางเดินเต็มไปด้วยทหารที่แต่งชุดหรูหรา
ด้านหน้าของคุณมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งแต่งชุดหรูหราพร้อมกับสวมมงกุฏอยู่
คุณรู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นพระราชาอย่างแน่นอน
ข้างๆกายของชายผู้นี้มีคนอีก 3-4 คนแต่งกายดูเหมือนว่าจะเป็นคนสำคัญยืนอยู่
จากนั้นก็มีเสียงคำสั่งให้คุกเข่า ทหารทุกคนที่นั่นก็คุกเข่าลง
คุณเห็นดังนั้นก็คุกเข่าตามคนอื่นๆ
‘เอาล่ะ… ดูเหมือนเจ้าจะต้องการคำตอบบางอย่าง
บอกมาว่าเจ้าต้องการอะไร’พระราชาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและเด็ดขาด
ใครฟังก็รู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้คือผู้ที่เป็นใหญ่และทรงอำนาจอย่างแน่นอน
‘ผม…’ คุณพูดขึ้นพร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่ง
เพราะคำถามที่คุณมีอยู่นั้นมากมายและตีกันจนสับสนไปหมด
คุณพยายามเรียบเรียงคำถามที่มีอยู่ในหัว
และคุณก็ตัดสินใจถามคำถามที่คุณคาใจที่สุดออกไปก่อน
‘ทำไมท่านถึงต้องมีคำสั่งให้จับทหารมนุษย์ที่เหลือรอดกลับมาด้วย
เราเป็นคนของท่านไม่ใช่หรือ?’
พระราชานิ่งไปครู่หนึ่งพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิดราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่จนในที่สุดก็พูดออกมา
‘เจ้าสูญเสียความทรงจำสินะ
เจ้าถึงไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงทำแบบนี้’ คุณตกใจกับการวิเคราห์อันเฉียบแหลมของพระราชาพร้อมกับตอบกลับ
‘ช..ใช่แล้วขอรับ ท่านรู้ได้อย่างไร?’
‘เข้าใจล่ะ’พระราชาเอ่ยขึ้นก่อนจะพูดต่อ
‘การที่เจ้ากลับมาที่นี่ก็เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำ’
‘หมายความว่าอย่างไรขอรับ’
‘เจ้าคงไม่รู้ แต่ว่าคำสั่งของข้าคือ
ไปจัดการกับราชาปีศาจให้สำเร็จ ถ้าหากมีใครกลับมาก่อนจะถือว่าเป็นการหนีทัพ’
หลังจากได้ยินแบบนั้นคุณก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมถึงมีทหารมาจับคุณหลังจากที่เข้าเมืองได้ไม่นาน
‘อย่างนี้นี่เอง’
คุณเอ่ยขึ้นเบาๆ
‘เอาล่ะ ทหารของข้ารายงานว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่เหลือรอดจากสงครามนั้นอย่างงั้นหรือ’
‘ใช่แล้วขอรับ’
‘งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า
เห็นแก่ที่เจ้าสูญเสียความทรงจำ ข้าจะยกเลิกโทษของเจ้าให้’
‘จ..จริงหรือขอรับ’
คุณรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของพระราชาอย่างมาก และยังรู้สึกดีใจที่จะได้มีโอกาสหาคำตอบของคำถามอื่นๆของตัวเองอีกด้วย
‘ใช่แล้ว แต่ข้ามีข้อแม้
เจ้าเป็นคนเดียวที่เหลือรอดมาได้ แสดงว่าเจ้าจะต้องมีฝีมือพอสมควร
ดังนั้นข้าจะให้เจ้ากลับไปทำภารกิจเก่าของเจ้าให้สำเร็จ’
‘ท่านหมายถึงให้ข้าไปกำจัดจอมปีศาจอย่างนั้นหรือ!’
‘ใช่’
‘แต่…ข้าเพียงคนเดียว จะสามารถบุกไปได้อย่างไรกัน’
‘ถึงจะได้ชื่อว่าจอมปีศาจแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีความสามารถอะไรที่แข็งแกร่ง
จอมปีศาจที่ว่าก็เหมือนกับตำแหน่งราชานี่แหละ ถ้าเจ้าลอบเข้าไปในวังของมันได้
ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องสังหารมันได้อย่างแน่นอน’
หลังจากคุณไตร่ตรองครู่หนึ่งกับคำพูดของพระราชาแล้ว
คุณก็เห็นทางเลือกว่าอย่างน้อยคุณก็อาจมีโอกาสที่จะรอดมากกว่ารอโดนประหารอยู่ในคุกใต้ดิน
‘ก็ได้ขอรับ…แต่ก่อนจะไปกระผมมีคำถาม
ผมอยากรู้อดีตของผมหากท่านจะสามารถ…’
‘ข้าจะตอบคำถามเจ้าทุกอย่างที่ข้าสามารถจะตอบได้ ทุกอย่าง
และอย่างซื่อตรงข้าให้สัญญา’
‘แต่ข้าจะตอบทั้งหมดหลังจากที่เจ้ากลับมาแล้วเท่านั้น’
‘ก…ก็ได้ขอรับ’
‘เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลง ข้าจะให้’คนใช้ของข้าพาเจ้าไปที่ห้องพัก
เจ้าคงจะเหนื่อยมามากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้ช่างทำอาวุธและชุดเกราะทำของไหม่ให้เจ้าที่เหมาะกับการลอบเข้าเมืองมากกว่านี้’
‘ขอบคุณมากขอรับ’
หลังจากนั้นทหารก็เข้ามาแก้เชือกที่มัดมือและเท้าอยู่ให้กับคุณ
และสาวใช้คนหนึ่งก็พาคุณไปที่ห้องพักห้องหนึ่งมี่อยู่ในปราสาท
ระหว่างที่คุณกำลังพักผ่อนอยู่บนเตียงในห้องพักนั้น สาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ก็เอ่ยขึ้น
‘ท่านสูญเสียความทรงจำอย่างนั้นหรือคะ’
‘อืม…ใช่แล้วล่ะ’
‘แต่ท่านก็ดูเป็นคนดีนะคะ
ตอนแรกที่ดิฉันเห็นท่านอยู่ไกลๆดิฉันก็กลัวท่านมาก
แต่พอเห็นหน้าท่านใกล้ๆและได้พูดคุยกับท่านทำให้ดิฉันเปลี่ยนความคิดไปเลยค่ะ’
‘อย่างนั้นหรือ…หน้าผมน่ากลัวหรอ?’
คุณถามพร้อมกับครุ่นคิดถึงใบหน้าของตน
เพราะคุณจำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าใบหน้าของคุณเป็นอย่างไร
ในขณะที่ครุ่นคิดคุณก็เอามือคลำโครงหน้าของตนเองไปด้วย
หวังว่าจะพอเดาออกว่าโครงหน้าของตนเป็นอย่างไร
‘อ๊ะ! ขอโทษค่ะ คือดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าท่านนะคะ!’
‘ไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร
ผมเพียงแค่สงสัยเฉยๆน่ะ’
หลังจากนั้นคุณก็สังเกตุใบหน้าของสาวใช้ที่ดูผ่อนคลายขึ้นหลังจากใบหน้าเป็นกังวลอย่างมากในตอนแรก
‘ถ้าถามจริงๆแล้วดิฉันก็คิดว่าใบหน้าท่านน่ากลัวค่ะ
แต่พอได้คุยด้วยแล้วท่านไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย
ทำให้ดิฉันก็คิดว่าไม่ควรมองคนแต่ภายนอกเหมือนกัน’
หลังจากนั้นคุณก็คุยกับสาวใช้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก่อนที่สาวใช้จะออกไป
ก่อนออกไปเธอก็กล่าวขอโทษที่ห้องพักแขกที่ปราสาทแห่งนี้ไม่มีห้องน้ำ
ทำให้คุณไม่สามารถอาบน้ำชะกลิ่นคาวเลือดออกไป อย่างไรก็ดี คุณก็รู้สึกพอใจมากพอแล้วกับการที่ได้นอนพักบนเตียงหลังจากเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
ในวันรุ่งขึ้นคุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นชุดหนังที่ดูน้ำหนักเบาเหมาะกับการเดินทางและดาบสั้นอีกเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
คุณใส่ชุดที่เตรียมไว้และเดินลงมาที่ห้องโถง ในห้องโถงคุณพบกับพระราชาและทหารในชุดหรูหรา
หลังจากนั้นพระราชาก็พูดบางอย่างกับคุณเกี่ยวกับการเดินทางไปเมืองปีศาจ
เส้นทางที่น่าจะทำให้คุณไม่ตกเป็นเป้าสายตา
แต่อย่างไรก็ดีหลังจากที่คุณเข้าเขตแดนของปีศาจแล้ว
คุณจะต้องหาทางเอาเองและห้ามให้ปีศาจตัวใดรู้ตัวจริงของคุณได้เป็นอันขาด หลังจากนั้นพระราชาก็บอกว่า
ชุดที่ช่างทำให้นั้นเป็นชุดหนังแบบเดียวกับชาวเมืองปีศาจที่ให้หน่วยราดตระเวณไปสอดแนมมา
รวมทั้งมีฮู้ดที่ช่วยปกปิดหน้าตาได้ดี
การลอบเข้าในที่ที่คนน้อยๆนั้นน่าจะทำได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
ยกเว้นแต่เพียงบริเวณเขตวังของราชาปีศาจเท่านั้น หากมีใครเจอคุณก็อาจจะสงสัยได้
หลังจากนัดแนะกันเสร็จก็ออกเดินทางโดยมีสาวใช้คนที่เคยพาคุณไปส่งที่ห้องมาส่งคุณที่หน้าประตูเมือง
ดูเหมือนเธอจะถูกใจคุณเข้าซะแล้ว
หลังจากนั้นคุณก็ออกเดินทางตามเส้นทางที่ได้นัดแนะไว้
โดยเส้นทางเหล่านั้นเป็นเส้นทางที่เลี่ยงเส้นทางเดิมที่คุณใช้ผ่านมมาและไม่ได้ผ่านสนามรบแต่เป็นการอ้อมสนามรบนั้นเพื่อเข้าไปยังด้านข้างของเขตแดนของปีศาจ
และในที่สุดคุณก็เดินลึกเข้ามาถึงในดินแดนของปีศาจ
ซึ่งด้านที่คุณมาถึงนั้นค่อนข้างปราศจากผู้คนชาวปีศาจ
ดูเหมือนว่าทางที่พระราชาเลือกให้นั้นจะใช้ได้ผลดีทีเดียว หลังจากนั้นคุณก็เปิดแผนที่ดูเพื่อดูว่าเมืองหลวงของปีศาจจะต้องเดินทางต่อไปทางใด
หลังจากรู้เส้นทางแล้วคุณก็รอให้พระอาทิตย์ตกดินเพื่อให้ชาวเมืองปีศาจหลับหมดตามที่นัดแนะไว้
เมื่อตกมืดแล้วคุณก็ออกเดินทางจากจุดที่ซุ่มอยู่
ระหว่างที่คุณเดินทางคุณก็สังเกตุเห็นบ้านเรือนต่างๆของชาวปีศาจและชาวเมืองบางคน
ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้สงสัยคุณสักเท่าไหร่ พวกเขาเพียงมองคุณผ่านๆแล้วจึงเดินต่อไป
ในที่สุดคุณก็มาถึงเมืองหลวงของเหล่าปีศาจ
เมืองหลวงนี้เต็มไปด้วยบ้านเรือนเช่นเดียวกับของมนุษย์
และเช่นเดียวกันมีกำแพงสูงตั้งตระหง่านอยู่
เนื่องจากคุณเห็นว่ามียามเฝ้าประตูคุณจึงเลือกที่จะปีนกำแพงสูงนี้ขึ้นไปเพื่อเข้าไปในเมือง
ด้วยทักษะและกำลังของคุณทำให้คุณปีนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
จนเมื่อคุณมายืนอยู่บนยอดสุดของกำแพงคุณก็ต้องทึ่งกับวิวทิวทัศน์
คุณไม่เคยคิดว่าวิวทิวทัศน์ของเมืองปีศาจจะสวยงานไม่แพ้ของมนุษย์
เมืองนี้มีหิมะปกคลุมตามบ้านหลังเล็กหลังน้อย
คงเพราะว่าที่นี่เป็นเขตแดนด้านเหนือจึงทำให้อากาศเย็นกว่าของมนุษย์
เลยกำแพงเมืองกว้างใหญ่ไปก็เป็นทิวเขาหิมะลูกเล็กใหญ่ ดูสวยงามอย่างมาก
และที่น่าแปลกใจคือคุณรู้สึกเหมือนเคยเห็นทิวทัศน์นี้มาแล้วอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากยืนทึ่งกับทิวทัศน์ได้ไม่นานคุณก็นึกถึงภารกิจที่ได้รับมา
ทำให้คุณลืมเรื่องทิวทัศน์ที่นึกถึงเมื่อครู่ไปหมดแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังวังของราชาปีศาจ
หลังจากคุณมาถึงหน้าราชวังของราชาปีศาจในตอนกลางคืนแล้วคุณก็ตัดสินใจที่จะ
C บุกเข้าไปทางด้านหน้าวัง
D หาทางเข้าทางด้านหลัง
C คุณเลือกที่จะเข้าไปทางด้านหน้าวัง หวังว่าจะพบกับพระราชาปีศาจโดยไว
หลังจากนั้นโดยที่ทหารเฝ้าหน้าประตูวังยังไม่ทันสังเกตุเห็น
เงาของคุณก็พุ่งกระโจนพังประตูหน้าราชวังอย่างง่ายดาย ภายในห้องโถงใหญ่มีทหารประจำอยู่
5-6 คน คุณมองไปรอบๆก็สบตากับพระราชาที่กำลังตกตะลึงอยู่
คุณรีบจัดการกับทหารทั้งหมดทันที
ด้วยความสามารถของคุณทำให้ยังไม่มีใครสามารถตั้งตัวได้ทัน
คุณก็จัดการกับทหารทั้งหมดได้ในเสี้ยววินาที
หลังจากนั้นคุณก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดย ปล่าวประโยชน์ คุณรีบตรงเข้าไปพร้อมกับเอาดาบสั้นแทงปลิดชีพราชาปีศาจขึ้นไปทันที
ในทันทีที่มีดฝังลงไปในร่างของราชาปีศาจคุณรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อะไรบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ด้วยความสับสนและตระหนก
คุณรีบออกจากพระราชวังอย่างรวดเร็วและรีบหาทางกลับเมือง Sanctuary ทันที
คุณใช้เวลาเพียงครึ่งวัน
ภายในรุ่งเช้าคุณก็มาถึงหน้าปราสาท ทหารที่มาเฝ้ายามปราสาทก็ตกใจมากที่พบคุณกลับมาด้วยความเร็วมากกว่าที่คาดไว้มาก
ทหารจึงบอกให้คุณรออยู่ด้านหน้าก่อน
จากนั้นทหารก็รีบเข้าปราสาทไปแจ้งข่าวกับพระราชา จากนั้นไม่นานก็มีเสียงเรียกให้คุณเข้าไปในปราสาท
คุณก็รีบเดินเข้าไปด้านใน
พระราชาดูเหมือนจะสังเกตุเห็นสีหน้าของคุณจุงพูดขึ้น
‘เจ้าคงมีคำถามอยากจะถามเราหลายเรื่อง
เจ้าอยากรู้อะไรก่อน’
‘ผม… จริงๆแล้วผมเป็นใครกันแน่….’ คุณพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระส่ำกระส่ายในใจว้าวุ่นไปหมดหวังเพียงแค่ว่าจะได้พบกับคำตอบแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม
‘ข้าจะตอบตามความจริงแล้วกัน… เจ้าเป็นใครนั้นข้าเองก็ไม่รู้
ข้าตอบได้เพียงว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์’
‘ไม่ใช่มนุษย์!’ หมายความว่าอย่างไรกัน?
ที่พระราชาพูดนั้นหมายถึงอะไรกันแน่
ในหัวคุณมีแต่คำถามและความไม่สบายใจ
‘ข้าหมายความว่าเจ้าเป็นปีศาจไงล่ะ
ข้าคิดว่าเจ้าคงสูญเสียความทรงจำแล้วคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์’
‘!!!’ หลังจากคำพูดนั้นของพระราชาคุณก็ไม่ได้ยินเสียงของพระราชาที่พูดต่ออีก
ในหัวคุณคิดแต่เพียงว่าสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนั่นคืออะไร คุณฆ่าราชาปีศาจ
พระราชาของตนเอง แถมคุณยังเป็นคนทำลายอณาจักรปีศาจทั้งหมด
เพราะคุณรู้ดีว่าหากเมืองขาดผู้นำแล้ว
ประชาชนไม่มีทางจะจัดการตัวเองได้ทันก่อนที่จะโดนมนุษย์บุกอย่างแน่นอน
‘แก…แสดงว่าที่แกพูดมาทั้งหมด
แกจงใจให้ฉันไปฆ่าพระราชาของตัวเองใช่มั้ย!’
‘ฉันก็แค่ใช้โอกาสที่ได้ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ฉันเองก็ไม่อยากให้ประชาชนของฉันล้มตายไปมากกว่านี้’
ในหัวคุณตอนนี้ไม่ได้นำคำพูดของพระราชามาคิดต่อใดๆทั้งสิ้น
คุณเพียงแต่ย้อนไปคิดถึงอดีต แล้วก็โทษตัวเองที่ทำไมไม่เอะใจ
ทั้งพฤติกรรมแปลกๆของชาวเมือง ทหารยามที่เข้ามาจับ คำพูดที่ชาวบ้านพูดกับตน การที่พระราชาไม่ให้ห้องน้ำในปราสาท
แม้กระทั่งภาพทิวทัศน์ที่คุ้นเคยของเมืองปีศาจ
ทำไมคุณถึงไม่เคยสังเกตุเห็นสิ่งพวกนี้จนมันสายไป
จากความเสียใจกลายเป็นความเคียดแค้น
แต่คุณไม่รู้จะโยนความแค้นนี้ไปที่ใครจนในที่สุดคุณก็ตัดสินใจโยนความแค้นนี้ไปให้กับพระราชา
‘แก… เพราะแก…!!’
คุณเตรียมพร้อมที่จะกระโจนใส่พระราชา แต่พระราชาก็พูดคำพูดหนึ่งก่อนที่คุณจะทำอะไร
‘ถ้าเจ้าคิดว่าฆ่าเราแล้วอะไรจะดีขึ้นก็ทำเถอะ
ทหารที่อยู่ที่วังนี้ยังไงก็หยุดเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เจ้าคิดบ้างรึเปล่าว่าหากข้าตายไป ประชาชนของทั้งสองเผ่าจะเป็นอย่างไร’ พระราชาเว้นวรรคครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ
‘หากผู้นำของทั้งสองฝั่งตายไปพร้อมกันล่ะก็ประชาชนก็จะขาดผู้นำ
การปล้น ฆ่า ความขาดแคลน ความอดอยาก ก็จะเกิดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้า
เจ้าอยากได้แบบนั้นหรือ’
‘ในฐานะที่เจ้าหยุดสงครามให้กับข้าทำให้คนของข้าไม่ล้มตายไปมากกว่านี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ฆ่าผู้คนของเผ่าปีศาจที่ยอมแพ้ให้กับมนุษย์’
ได้ฟังดังนั้นถึงแม้ในใจของคุณจะมีความแ ค้นมากมายเพียงได้
แต่จิตใจของคุณก็เป็นห่วงเหล่าชาวบ้านชนบทที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย
ในที่สุดคุณก็ยอมถอยออกห่างจากพระราชา และรีบหายตัวไปจากปราสาทโดยที่หลังจากนั้นไม่มีใครพบเห็นคุณอีกเลย
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปได้ 3 ปี
มนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธ์ที่มีความยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง
โดยมนุษย์ได้ส่งคนไปปกครองเผ่าปีศาจ
ถึงแม้เผ่าปีศาจจะอยู่อย่างยากลำบากเพราะความแตกต่างทางเผ่าพันธ์แต่พระราชาก็รักษาคำพูดที่ให้ไว้
โดยไม่ได้ฆ่าเผ่าปีศาจไปมากกว่านี้และยังสนับสนุนให้มีการอยู่ร่วมกันมากขึ้น
ถึงแม้ว่ามนุษย์จะยังมีอำนาจเหนือกว่าอยู่ก็ตาม อย่างไรก็ดี
ไม่มีใครพบเห็นทหารปีศาจผู้สูญเสียความทรงจำนั้นอีกเลย
สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันในหมู่มนุษย์และปีศาจรุ่นหลังสืบไป(END)